ดังนั้นหากผู้พิพากษาถือวิสาสะวินิจฉัยคดีในลัฏษณะที่เปลี่ยนผลการบังคับใช้กฎหมาย และมีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ซึ่งเป็นการใช้อำนาจก้าวก่ายกิจการทางนิติบัญญัติ การใช้อำนาจตุลาการในลักษณะดังกล่าวก็จะมีลักษณะเป็นการ "ตุลาการภิวัฒน์" (judicial activism). ตัวอย่างสำคัญของ judicial activism เช่น ในคดีประวัติศาสตร์ Roe vs. Wade (1973) ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาพิพากษาว่าการลงโทษทางอาญาต่อการทำแท้งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลัก วิถีทางที่ถูกต้องแห่งกฎหมาย หรือ Due Process ตาม การแก้ไขเพิ่มเติมข้อที่ 14 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา. ระบบกฎหมายของอังกฤษถูกเรียกว่า "คอมมอนลอว์" เพราะในอดีตถือว่าเป็นกฎหมายที่ "ถือร่วมกัน" (common) ในศาลของพระมหากษัตริย์ทั่วประเทศอังกฤษ อันเป็นประเพณีปฏิบัติในศาลของพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ ในช่วงหลังจากการบุกรุกรานเกาะอังกฤษของชาวนอร์แมนในปี ค. ศ. 1066. [4] ลักษณะเฉพาะของระบบกฎหมายคอมม่อนลอว์ [ แก้] โดยทั่วไปแล้วระบบกฎหมายคอมมอนลอว์มักจะหมายถึงกฎหมายที่มีเนื้อหา หรือมีที่มาจากคำพิพากษา ซึ่งเรียกว่ากฎหมายจากคดีพิพาท หรือ "case law" เพื่อแสดงความแตกต่างจากกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Statutory law) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ.
จากการศึกษานิติวิธีในระบบซีวิลลอว์และระบบคอมมอนลอว์ดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่านิติวิธีในระบบกฎหมายทั้งสองนั้นมีความเหมือนหรือแตกต่างกันดังต่อไปนี้ 2. 4. 1. บ่อเกิดของกฎหมายหรือที่มาของกฎหมายในระบบซีวิลลอว์และระบบคอมมอนลอว์ตั้งเดิมนั้นเหมือนกันกล่าวคือมีที่มาจากจารีตประเพณีเพียงแต่ทั้งสองระบบนั้นมีพัฒนาการทางกฎหมายที่แตกต่างกันเท่านั้นเหมือนกันกล่าวคือมีที่มาจากจารีตประเพณีเพียงแต่ทั้งสองระบบนั้นมีพัฒนาการทางกฎหมายที่แตกต่างกันเท่านั้น 2. 2. โดยที่กฎหมายในระบบซีวิลลอว์และระบบคมอมอนลอว์มีพัฒนาการทางกฎหมายที่แตกต่างกันจึงทำให้กฎหมายทั้งสองระบบนี้ให้ความสำคัญต่อบ่อเกิดของกฎหมายแตกต่างกันดังต่อไปนี้ 1) ในระบบซีวิลลอว์นั้นจะให้ความสำคัญต่อบ่อเกิดของกฎหมายเป็นลำดับดังต่อไปนี้ (1) หลักกฎหมายจากคำพิพากษา (2) บทกฎหมายลายลักษณ์อักษร (3) จารีตประเพณี (4) ข้อคิดข้อเขียนของนักนิติศาสตร์ (5) เหตุผลและความยุติธรรม 2. 3.
ศ. ก็คงจะเป็นตั้งแต่ปี ค.
Sitemap | แบค โฮ ไว โบ ร, 2024