สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการไม่สามารถมองข้ามได้คือ การจัดทำบัญชีและภาษีสำหรับธุรกิจ และสิ่งหนึ่งดีๆ ที่กรมสรรพากรอยากบอกต่อสำหรับเจ้าของกิจการทั้งหลายก็คือ การทำธุรกิจแบบบัญชีเดียว และการทำธุรกิจแบบบัญชีเดียวจะดีกว่ายังไง? iTAX เอาคำตอบจากงาน เสี่ยงกว่ามั๊ย… ถ้าไม่ใช้บัญชีเดียว ที่กรมสรรพากรจัดขึ้น เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 มาฝาก ธุรกิจแบบบัญชีเดียว คืออะไร? ธุรกิจแบบบัญชีเดียว หรือ มาตรการบัญชีชุดเดียว คือ แนวทางที่ภาครัฐให้เจ้าของธุรกิจจัดทำบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการเพียงชุดเดียว ซึ่งในอดีตเจ้าของกิจการบางประเภทมักจะทำบัญชีหลายชุด และมีผลทำให้ตัวเลขไม่ตรงเมื่อต้องยื่นภาษีกับกรมสรรพากร ทำให้กิจการมีความน่าเชื่อถือน้อยลง และส่งผลเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ทำธุรกิจ SMEs ทำไมต้องใช้บัญชีเดียว?
ตรงที่ส่วนนี้จะตัดสิ่งไม่จำเป็นและไม่นำไปเพิ่มอีกส่วน แต่จะทำให้มันสมดุลเท่ากัน ซึ่งคนที่ รับทำบัญชี เวลาที่ทำรายรับรายจ่าย ก็จะต้องเปรียบเทียบให้เห็นได้ว่า บัญชีรายรับและรายจ่ายสมดุลกันหรือไม่!? คนที่รับทำบัญชีให้กับบริษัทนั้นอาจจะมีความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขที่กลัวว่าจะผิดพลาด แต่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจมาจะขาดคนทำบัญชีไม่ได้ เสมือนกับการทำรายรับรายจ่าย ที่จำเป็นต้องมีเพื่อที่จะช่วยในเรื่องของการตัดสินใจ และเกี่ยวเนื่องกับการเจริญเติบโตของบริษัทนั้น ๆ ได้ การทำรายรับรายจ่าย เป็นเสมือนการโชว์ทิศทางของบริษัทนั้น ๆ ว่าจะดำเนินไปทางไหน และแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะต้องทำให้มันเป็นไปตามทางที่ดีที่สุดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหากคุณมีธุรกิจและไม่เคยได้ทำรายรับรายจ่ายเลย เราขอแนะนำให้เริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ แล้วคุณอาจจะเห็นส่วนที่ไม่สำคัญที่สามารถตัดทิ้งได้ และอีกส่วนที่ช่วยให้คุณมีรายได้มากขึ้นก็เป็นได้!
ศ. 2559 จากตัวอย่าง จะเห็นว่าการบันทึกบัญชีมีรายละเอียดหรือข้อมูลตัวเลขให้ผู้ประกอบการได้นำไปใช้ ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น 1. ผู้ประกอบการสามารถรับรู้ยอดเงินสดคงเหลือในมือของแต่ละวัน 2. รับรู้ว่ามีรายรับด้านใดเกิดขึ้นบ้าง ที่สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อบริหารกิจการทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 3. ทราบยอดรายจ่ายและสามารถควบคุมาค่าใช้จ่ายให้ลดลง ทำให้มีผลกำไรเพิ่มมากขึ้น 4.
ความเป็นหน่วยงาน (Business Entity Assumption) ข้อมูลทางบัญชีจะประมวลผลและรายงานเพื่อกิจการหนึ่งกิจการใดโดยเฉพาะแยกต่างหากจากเจ้าของกิจการกล่าวคือ ถือว่ากิจการเป็นหน่วยงานหสึ่งซึ่งสามารถจะมีสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของเป็นของตนเอง ทั้งนี้เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานของกิจการสามารถทราบได้ว่าประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร 3. การใช้หลักฐานอันเที่ยงธรรม (Objective Evidence Assumption) การบันทึกข้อมูลทางบัญชีและการจัดทำงบการเงินต้องกำหนดมูลค่าโดยเที่ยงธรรมเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น เพื่อให้ความมั่นใจแก่ผู้ที่ใช้งบการเงินนั้นๆ ว่าข้อมูลต่างๆ ในงบการเงินถูกต้องเชื่อถือได้หลักฐานอันเที่ยงธรรม ได้แก่ ผลการตรวจนับเงินสดในมือ เช็คที่จ่ายเงินแล้ว เป็นต้น 4. หลักรอบเวลา (Periodicity Assumption) กิจการทุกแห่งมีวัตถุประสงค์ที่จะดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตลอดไปแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องในกิจการนั้นๆ เช่น เจ้าของ เจ้าหนี้ นักลงทุนต้องการที่จะทราบข้อมูลทางบัญชีเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจทำให้ต้องจัดทำงบการเงินสำหรับแต่ละรอบระยะเวลาขึ้นโดยปกติรอบระยะเวลาจะเป็นหนึ่งปี เพื่อวัดผลการดำเนินงานและแสดงการเปลี่ยนฐานะการเงินสำหรับรอบเวลานั้น อีกทั้งแสดงฐานะการเงินเมื่อสิ้นรอบเวลานั้นด้วย 5.
ในการประกอบธุรกิจอาจจะแบ่งประเภทของธุรกิจได้หลายประเภทไม่ว่าจะแบ่งตามลักษณะใด ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันก็มิได้หมายความว่าปัจจัยต่างๆ จะเหมือนกันตัวเลขทางการเงินทั้งหลายที่นำมาประกอบกันเป็นงบการเงิน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของกิจการนั้นๆ เพื่อให้การจัดทำงบการเงินของนักบัญชีสามารถปฏิบัติได้ในแนวทางเดียวกันและผู้ใช้ข้อมูลทางการบัญชีได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนตามความเหมาะสม ข้อสรุปในข้อมูลต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีข้อสมมุติฐานทางการบัญชี คือ สิ่งที่นักบัญชีทั้งหลายต้องทำความเข้าใจเพื่อที่จะนำมาใช้ปฏิบัติงานของตน มีดังนี้ 1. การใช้หน่วยเงินตราเป็นเครื่องวัด (Monetary Unit Assumption) การบัญชีใช้หน่วยเงินตราเป็นหน่วยวัดราคา เพื่อที่จะรายงานข้อมูลทางการบัญชี ข้อมูลใดที่ไม่สามารถวัดได้เป็นหน่วยเงินตราจะไม่นำมาใช้เป็นข้อมูลทางบัญชี ทั้งนี้เพราะการแสดงข้อมูลทางการบัญชีในลักษณะที่เป็นตัวเลขจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจมากกว่าการแสดงข้อมูลในลักษณะของการบรรยาย การใช้หน่วยเงินตราเป็นเครื่องวัดหมายความว่าหน่วยเงินตรามีค่าคงที่ในเชิงข้อมูลทางการบัญชี เช่น ซื้อที่ดิน 50, 000 บาท เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในปัจจุบันก็จะแสดงข้อมูลทางการบัญชีเป็นจำนวน 50, 000 บาท 2.
การดำรงอยู่กิจการ (Going-concern Assumption) กิจการที่ตั้งขึ้นมาย่อมมีวัตถุประสงค์ที่จะดำรงอยู่โดยไม่มีกำหนด ข้อสมมุติฐานนี้ถือว่าทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่เช่น เครื่องจักรอุปกรณ์จะถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ของกิจการในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตลอดไปจึงยึดถือการบันทึกสินทรัพย์ตามหลักราคาทุน เช่น การซื้อสินทรัพย์ที่เป็นเครื่องจักรอุปกรณ์ก็จะบันทึกราคาต้นทุนของเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ซื้อมาแต่ถ้าจะเลิกกิจการในเวลาอันใกล้การบันทึกราคาก็จะใช้ราคาสุทธิที่จะขายได้ 6. หลักราคาทุน (Cost Assumption) การบัญชีถือเอาราคาทุนเป็นหลักในการบันทึกบัญชีสินทรัพย์ หนี้สิน เช่น ซื้อเครื่องใช้สำนักงาน 50, 000 บาท ทั้งผู้ซื้อผู้ขายจะถือราคา 50, 000 บาท เป็นราคาที่จะนำไปบันทึกบัญชี แม้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปราคาตลาดของเครื่องใช้สำนักงานเปลี่ยนไปจากเดิม แต่ข้อมูลทางบัญชียังคงยึดถือราคาทุนอยู่ เพราะการใช้ราคาทุนให้ความแน่นอนในการวัดฐานะการเงินและผลการดำเนินงานมากกว่าการใช้ราคาตลาดหรือราคาอื่นทำให้ผู้ใช้งบการเงินมีความเชื่อถือในข้อมูลและไม่เกิดการเข้าใจผิด 7. หลักการเกิดขึ้นของรายได้ (Revenue Realization Assumption) การบันทึกรายได้ของกิจการในรอบเวลาใดเวลาหนึ่งจะบันทึกต่อเมื่อรายได้นั้นได้เกิดขึ้น ถ้าเป็นการขายสินค้าจะบันทึกเมื่อมีการส่งมอบสินค้าที่ขายถ้าเป็นธุรกิจบริการจะบันทึกเมื่อได้เสนอบริการให้แก่ลูกค้าแล้ว 8.
Sitemap | แบค โฮ ไว โบ ร, 2024