กรมเวียง หรือ กรมเมือง เสนาบดี คือ เจ้าพระยายมราช มีตราพระยมทรงสิงห์เป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่ดูแลกิจการทั่วไปในพระนคร 2. กรมวัง เสนาบดี คือ พระยาธรรมา ใช้ตราเทพยดาทรงพระนนทิการ (พระโค) เป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่ดูแลพระราชวังและตั้งศาลชำระความ 3. กรมคลัง หรือ กรมท่า ใช้ ตราบัวแก้ว เป็นตราประจำตำแหน่งมีเสนาบดีดำรงตำแหน่งตามหน้าที่รับผิดชอบคือ - ฝ่ายการเงิน ตำแหน่งเสนาบดีคือ พระยาราชภักดี - ฝ่ายการต่างประเทศ ตำแหน่งเสนาบดีคือ พระยาศรีพิพัฒน์ - ฝ่ายตรวจบัญชีและดูแลหัวเมืองชายทะเลตะวันออก ตำแหน่งเสนาบดีคือ พระยาพระคลัง 4.
ล้านนาไทย (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงแสน) 2. ลาว (หลวงพระบาง เวียงจันทน์ จำปาศักดิ์) 3. เขมร 4.
กรุงธนบุรีไม่เหมาะทางด้านทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ กล่าวคือ มีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่ากลาง เปรียบเสมือนเมืองอกแตก เมื่อใดที่ข้าศึกยกทัพมาตามลำแม่น้ำก็สามารถตีถึงใจกลางเมืองได้โดยง่าย วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร เป็นราชธานีใหม่ของไทย สร้างขึ้นโดยเลียนแบบกรุงศรีอยุธยากำหนดพื้นที่เป็น 3 ส่วนคือ 1. บริเวณพระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วย วังหลวง วังหน้า วังในพระบรมมหาราชวัง (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) และรวมทั้งทุ่งพระเมรุ (ท้องสนามหลวง) 2. บริเวณที่อยู่อาศัยภายในกำแพงเมือง อาณาเขตกำแพงเมืองประตูเมืองและป้อมปราการ สร้างขึ้นตามแนวคลองรอบกรุง ได้แก่ คลองบางลำพู และคลองโอ่งอ่าง 3. บริเวณที่อยู่อาศัยภายนอกกำแพงเมือ ง เป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีบ้านเรือนราษฎรตั้งอยู่ด้านนอกของคลองรอบกรุง มีคลองขุดในรัชกาลที่ 1 คือคลองมหานาค พระราชวังเดิม ลัดเลาะพระราชวังเดิม – 3 สถานที่สำคัญที่ปรากฎในแบงค์ 100 (รุ่นเก่า) พระราชวังกรุงธนบุรี หรือ พระราชวังเดิม เป็นพระราชวังหลวงแห่งเดียว ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช.. โบราณสถานพระราชวังเดิม ที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ได้แก่ ท้องพระโรง พระตำหนักเก๋งคู่ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระตำหนักสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และป้อมวิไชยประสิทธิ์ ซึ่งได้รับการบูรณะ ครั้งล่าสุดตั้งแต่ปี พ.
2538 และเสร็จสมบูรณ์ในปี พ. 2545 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 กันยายน พ.
ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทรงปราบจลาจลในปลายสมัยธนบุรีเสร็จสิ้นแล้ว จึงได้ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรี และขึ้นครองราชย์ในฐานะปฐมกษัตริย์ แ่ห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระนาว่า สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรี มายังฝั่งกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อ พ. ศ. 2325 สาเหตุที่ทรงย้ายราชธานี มีดังนี้ คือ 1. พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ มีวัดขนาบทั้ง 2 ข้าง (คือวัดท้ายตลาด หรือวัดโมลีโลกยาราม และวัดอรุณราชวราราม) 2. ทรงไม่มีพระประสงค์จะให้ราชธานีแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยากั้น 3. พื้นที่นทางฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลุ่ม สามารถขยายเมืองออกได้อย่างกว้างขวาง 4.
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น – ใน พ. ศ. 2325 เมื่อเมื่อ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ขึ้น ครองราชย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระนามปรากฏต่อมาว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" และภายหลังได้รับการยกย่องเป็น "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" (ร. 1) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีใหม่ จากกรุงธนบุรีมายังฝั่งตะวันออก (ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา) และสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานีขึ้น ณ ที่แห่งนี้ กรุงรัตนโกสินทร์ สมัยฟื้นฟูบ้านเมือง รัชกาลที่ 1-3 ( ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น พ. 2325-2394) สาระสำคัญในบทความนี้ เหตุผลที่ย้ายราชธานี ลักษณะของราชธานีใหม่ การปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การปรับปรุงกฎหมาย 1. พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ มีวัดขนาบอยู่ทั้ง 2 ด้าน คือ วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และ วัดโมฬีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) จึงยากแก่การขยายพระราชวัง 2. ความไม่เหมาะสมด้านภูมิประเทศ เนื่องจากฝั่งตะวันตก หรือราชธานีเดิมเป็นท้องคุ้ง อาจถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งพังได้ง่าย แต่ฝั่งตะวันออก (กรุงเทพฯ) เป็นแหลมพื้นดินจะงอกขึ้นเรื่อยๆ 3. ความเหมาะสมต่อการขยายเมืองในอนาคต พื้นที่ฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลุ่มกว้างขวาง สามารถขยายตัวเมืองไปทางเหนือและตะวันออกได้ 4.
Sitemap | แบค โฮ ไว โบ ร, 2024